GRA-08. ผลงานนักศึกษา
URI ถาวรสำหรับคอลเล็กชันนี้
เรียกดู
กำลังเรียกดู GRA-08. ผลงานนักศึกษา โดย วันที่ออก{{beginningWith}}
ตอนนี้กำลังแสดง1 - 20 ของ 42
ผลลัพธ์ต่อหน้า
ตัวเลือกเรียงลำดับ
รายการ การดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของข้าราชการ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2559) วราภรณ์ ชาวเวียงการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการดำรงชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 4 ประการ ของข้าราชการวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านความต้องการของมนุษย์ ด้านแรงจูงใจกับการดำรงชีวิต ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของข้าราชการวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรโดยกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยในครั้งนี้คือ ข้าราชการวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร จำนวน 158 นาย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน T-test , One-way Anovaรายการ ผลกระทบของวิธีปฏิบัติด้านทรัพยากรมนุษย์ การทำงานเป็นทีมและการมีส่วนร่วม พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การ ในมุมมองของผู้บริหาร ที่มีต่อผลการปฏิบัติงานขององค์การโดยการวัดแบบสมดุล ของโรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทย(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2560) วิสิตศักดิ์ สุขสะอาดพสุ.การศึกษานีม้ีวัตประสงค์เพื่อ ศึกษาระดับฏิสัมพันธ์ระหว่างวิธีปฏิบตัิด้านทรัพยากรมนษุย์ การทำงาน เป็นทีมและการมีส่วนร่วม พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การ กับผลการปฏิบตัิงานขององค์การใน ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน ในประเทศไทย โดยเป็นการศึกษาเชิงปริมาณ ผ้วิจัยได้เก็บข้อมลูจากผ้บูริหาร โรงพยาบาลเอกชนโดยใช้แบบสอบถามจำนวน 313 ฉบบั และได้ทดสอบสมมติฐานการวิจัยโดยการ วิเคราะห์เส้นทางความสัมพันธ์ ผลที่ได้จากการศกึษาพบว่า วิธีปฏิบตัิด้านทรัพยากรมนษุย์ส่งผลกระทบ โดยตรงในทางบวกกับผลการปฏิบตัิงานขององค์การตามหลกัการวัดผลแบบสมดุล และยังส่งผลกระทบ ทางอ้อมโดยผ่านพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การ รวมถึงการทำงานเป็นทีมและการมีส่วนร่วมก็ ส่งผลกระทบโดยตรงกับผลการปฏิบตัิงานขององค์การ และยงส่งผ่านทางอ้อมโดยผ่านพฤติกรรมการเป็น สมาชิกที่ดีขององค์การอีกด้วย แสดงว่าพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การ์ มีส่วนช่วยเสริมให้ โรงพยาบาลมีผลการปฏิบตัิงานที่ดีขึ้นด้วย ดังนั้นผ้บูริหารโรงพยาบาลควรส่งเสริมให้องค์การมีวิธีปฏิบตัิ ด้านทรัพยากรมนุษย์ การทำงานเป็นทีมและการมีส่วนร่วม พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การใน ระดับสูง เพื่อให้ผลการปฏิบัตังานขององค์การดีขึ้นด้วยรายการ ความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อการให้บริการหน่วยงานภาครัฐ กรณีศึกษา: งานพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2560) หทัยพันธุ์ ชัยพรประเสริฐการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาความพึงพอใจประชาชนที่มีต่อการให้บริการหน่วยงานภาครัฐ กรณีศึกษา : งานพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพพระบาท สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิต มหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง 2) เพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจประชาชนที่มีต่อการให้บริการหน่วยงานภาครัฐ กรณีศึกษา : งานพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพพระบาท สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิต มหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง ที่มีเพศ อายุ อาชีพ ต่างกัน และ 3) เพื่อศึกษารวบรวมข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐที่มีต่อการให้บริการประชาชน กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ประชาชนที่มางานพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิต มหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง จำนวน 222 คน ซึ่งกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของยามาเน (Taro Yamane) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยรายการ ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของกำลังพล ในกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 19(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2560) ปริญญา วงศ์โกศลงานศึกษาฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ ( 1 ) เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของกำลังพลในกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 19 ( 2 ) เพื่อเปรียบเทียบระดับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของกำลังพลในกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 19 โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามและกำหนดกลุ่มตัวอย่างกำลังพลในกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 19 จำนวน 125 คน และวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติที่ใช้ในงานศึกษา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และวิเคราะห์สมมติฐานโดยใช้ One Way ANOVAรายการ การจัดการความรู้ของสถาบันจิตวิทยาความมั่นคง(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2560) การรุ้ง หาสารีสรการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อศึกษาการจัดการความรู้ของสถาบันจิตวิทยาความมั่นคง 2. เพื่อเปรียบเทียบการจัดการความรู้สถาบันจิตวิทยาความมั่นคงจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลประชากรที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้คือ บุคลากรจากหน่วยงานในสถาบันสถาบันจิตวิทยาความมั่นคง หน่วยขึ้นตรงในกองทัพไทย จำนวน 57 คน โดยการวิจัยครั้งนี้ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือใน การเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติในการวิเคราะห์ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบโดยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way analysis of variance) และทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยทีละคู่ โดยวิธีทดสอบรายคู่ของ LSD test ในกรณีที่ผลการทดสอบให้ค่าแตกต่างกันระหว่างประชากรรายการ แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการของกองพันทหารราบ ที่ 3 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2560) ชาญยุทธ แคล้วปลอดทุกข์การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1. เพื่อศึกษาระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการของกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ 2. เพื่อศึกษาการเปรียบเทียบแรงจูงใจของข้าราชการของกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 3. เพื่อศึกษาแนวทางในการแก้ไขปัญหา อุปสรรค และหาแนวทางที่เหมาะสม เพื่อสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการของกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ให้เป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสมกับความเป็นจริงและมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นข้าราชการของกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ จำนวน 259 คน เครื่องมือ ที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนตัว และแบบสอบถามปัจจัยที่มีผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการของกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยผู้ศึกษาดำเนินการแจกแบบสอบถามและเก็บแบบสอบถามด้วยตัวเอง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติ และ F-test และกําหนดค่าระดับความเชื่อมั่น (ระดับนัยสําคัญ) ที่ 0.05รายการ ความพึงพอใจของกำลังพลนายสิบต่อโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง กองพันทหารสื่อสารที่ 21(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2560) สิทธิพล ปัญญาศิริการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของกำลังพลนายสิบต่อโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง กองพันทหารสื่อสารที่ 21 2) เพื่อเปรียบเทียบผลต่อความพึงพอใจของกำลังพลนายสิบต่อโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิต ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง กองพันทหารสื่อสารที่ 21 และ 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะในการปรับปรุงการดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ให้มีประสิทธิภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ทำการศึกษาคือ กำลังพลนายสิบกองพันทหารสื่อสารที่ 21 จำนวน 117 นาย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test และ One-Way ANOVAรายการ คุณภาพชีวิตการทำงานของผู้ปฏิบัติงานของสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจ จากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน)(Sripatum University, 2560) ศิริพร เสนามนตรีการค้นคว้าอิสระ เรื่อง คุณภาพชีวิตการทำงานของผู้ปฏิบัติงานของสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาคุณภาพชีวิตการทำงานของผู้ปฏิบัติงานของสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ BEDO (2) เปรียบเทียบคุณภาพชีวิตการทำงานของผู้ปฏิบัติงานของ BEDO จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้ปฏิบัติงานของ BEDO จำนวน 73 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการศึกษา สถิติที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วย การแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สถิติ t-test และสถิติ F-test และเปรียบเทียบความแตกต่างรายคู่ด้วย Least Significant Difference (LSD) ผลการศึกษา พบว่า 1.ผู้ปฏิบัติงานของ BEDO มีระดับคุณภาพชีวิตการทำงานโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ผู้ปฏิบัติงานของ BEDO มีคุณภาพชีวิตการทำงานอยู่ในระดับสูง 2 ด้าน คือ ด้านการปฏิบัติงานร่วมกันและความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น และด้านสิทธิส่วนบุคคล รองลงมาอยู่ในระดับปานกลางทั้งหมด คือ ด้านความเป็นประโยชน์ต่อสังคม ด้านโอกาสในการพัฒนาและการใช้ความสามารถของบุคคล ด้านความสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว ด้านความก้าวหน้าและความมั่นคงในงาน ด้านสภาพการปฏิบัติงานมีความปลอดภัยและส่งเสริมสุขภาพ และด้านการได้รับค่าตอบแทนที่เพียงพอและยุติธรรม เป็นลำดับสุดท้าย 2.ผู้ปฏิบัติงานของ BEDO ที่มีเพศ อายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา สังกัดและอายุงาน แตกต่างกัน มีคุณภาพชีวิตการทำงานไม่แตกต่างกัน แต่ผู้ปฏิบัติงานของ BEDO ที่มีสถานะ ตำแหน่งปัจจุบันและเงินเดือนปัจจุบัน แตกต่างกัน มีคุณภาพชีวิตการทำงานแตกต่างกันรายการ ความคาดหวังและความพึงพอใจของผู้มารับบริการ ในงานด้านการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของสำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี สาขาปากเกร็ด(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2560) พรณิชา จันทร์กลิ่นการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ของนักศึกษา เพื่อศึกษาระดับความคาดหวังและความพึงพอใจเปรียบเทียบความคาดหวังและความพึงพอใจ ของผู้มารับบริการในงานด้านการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ของสำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี สาขาปากเกร็ด จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลที่มีต่อการให้บริการด้านคุณภาพเจ้าหน้าที่ ด้านการให้บริการ ด้านอาคารสถานที่ ประชากรที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้ คือ ผู้มารับบริการในงานด้านการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ของสำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี สาขาปากเกร็ด จำนวน 250 คน โดยการวิจัยครั้งนี้ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลของผู้มารับบริการในงานด้านการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของสำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี สาขาปากเกร็ด สถิติในการวิเคราะห์ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสถิติ t-test (Independent Samples) และ F-test (One-way ANOVA)รายการ ความสัมพันธ์ของประสบการณ์นักศึกษาที่ได้รับจากบุคลากรฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายวิชาการกับความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนที่มีต่อความผูกพันของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2560) สุวพัชร วุฒิเสน(1) การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยเหตุที่มีต่อความผูกพันของนักศึกษาต่อมหาวิทยาลัยราชภัฏ (2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของการตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนกับความผูกพันของนักศึกษาต่อมหาวิทยาลัยราชภัฏ ผู้วิจัยกำหนดประชากรในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษาที่กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏ 40 แห่งทั่วประเทศ นักศึกษาที่กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏ จำนวน 1,000 คน ผู้วิจัยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage-Sampling) ดำเนินการเก็บรวบรวม ข้อมูลด้วยแบบสอบถามระหว่างเดือน สิงหาคม – พฤศจิกายน 2556 และได้รับแบบสอบถามกลับคืนจำนวน 625 ฉบับ คิดเป็นอัตราการตอบกลับคืน (Response Rate) ร้อยละ 62.5 ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling: SEM)รายการ การศึกษาความสอดคล้องแนวปฎิบัติการจัดการทรัพยากรมนุษย์กับกลยุทธ์ธุรกิจที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานองค์กรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(Sripatum University, 2560) พิชัย พันธุ์วัฒนาการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1.) เพื่อศึกษาปัจจัยเหตุที่มีผลต่อแนวปฎิบัติการจัดการทรัพยากรมนุษย์ 2.) เพื่อศึกษาอิทธิพลการจัดการทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ที่มีผลต่อผลการดำเนินงานขององค์กร และ 3.) พัฒนาแบบจำลองความสอดคล้องของแนวปฎิบัติการจัดการทรัพยากรมนุษย์กับกลยุทธ์ธุรกิจ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed methods) คือ การดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-depth interview) ร่วมการดำเนินการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม โดยผู้วิจัยกำหนดประชากรในการวิจัยครั้งนี้คือ ผู้บริหารหน่วยงานทรัพยากรมนุษย์ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจำนวน 678 แห่ง ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเชิงชั้นร่วมกับการสุ่มตัวอย่างกระจายแบบง่ายได้รับข้อมูลกลับทั้งสิ้น 382 ตัวอย่างและวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์แบบจำลองสมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling: SEM) และทำการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) เพื่อยืนยันผลการวิจัย ผลการวิจัยพบว่า กลยุทธ์ธุรกิจมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อแนวปฎิบัติการจัดการทรัพยากรมนุษย์และแนวปฎิบัติการจัดการทรัพยากรมนุษย์มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อผลลัพธ์ด้านทรัพยากรมนุษย์และผลการดำเนินงานขององค์กร ผลลัพธ์ด้านทรัพยากรมนุษย์มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานขององค์กร นอกจากนั้นผลการดำเนินงานขององค์กรยังได้รับอิทธิพลทางอ้อมจากกลยุทธ์ธุรกิจและแนวปฎิบัติการจัดการทรัพยากรมนุษย์ซึ่งมีค่าอิทธิพลที่มีนัยสำคัญทางสถิติรายการ ตัวแบบการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันไปสู่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2560) ภรณี หลาวทองการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ ความ สามารถทางการแข่งขัน ผลการดำเนินงานขององค์กร (2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ ความสามารถทางการแข่งขัน ผลการดำเนินงานขององค์กร (3) เพื่อสร้างตัวแบบการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันไปสู่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ผู้วิจัยกำหนดประชากรในการวิจัยครั้งนี้ คือ ตัวแทนกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ผ่านการคัดสรรผลิตภัณฑ์ ระดับ 4-5 ดาว จำนวน 420 คน ซึ่งผู้วิจัยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Sampling) ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน 2559 และได้รับแบบสอบถามกลับคืน จำนวน 324 ฉบับ คิดเป็นอัตราการตอบกลับคืน (Response Rate) ร้อยละ 77.14รายการ การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของเทศบาลตาคลี อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2560) ภมร วงษ์ศรีจันทร์การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อศึกษาการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของเทศบาลตาคลี อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ 2. เพื่อเปรียบเทียบการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของเทศบาลตาคลี อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ประชาชนในเขตเทศบาลตาคลี อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 125 คน การวิจัยครั้งนี้ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า t-test ค่า f-testรายการ ภาวะผู้นำของผู้อำนวยการโรงเรียนธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ตามหลักสังคหวัตถุ 4(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2560) จิราภรณ์ แก้วเชือกหนังการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1. เพื่อศึกษาภาวะผู้นำของผู้อำนวยการ โรงเรียนธัญบุรี ตามหลักสังคหวัตถุ 4 2. เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำของผู้อำนวยการโรงเรียนธัญบุรี ตามหลักสังคหวัตถุ 4 จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 3.เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้อำนวยการโรงเรียนธัญบุรี ตามหลัก สังคหวัตถุ 4 ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้อำนวยการและครูผู้สอนของโรงเรียนธัญบุรี จำนวน 100 คน ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพแล้วมาทำการวิเคราะห์สามารถ สรุปผลการศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติ T-test และ F-test และกําหนดค่าระดับความเชื่อมั่น (ระดับนัยสําคัญ) ที่ 0.05รายการ ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำกับขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัท พฤกษาเรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)(Sripatum University, 2560) พวงเพชร บรรลุการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำที่มีผลต่อขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน โดยศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำกับขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัท พฤกษาเรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ พนักงานพนักงานบริษัท พฤกษาเรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) จำนวน 362 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สถิติ t-test และสถิติ One-Way ANOVA หากพบข้อแตกต่างจะทดสอบความแตกต่างเป็นรายคู่โดยวิธี LDS ( Least Significant Difference) และวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05รายการ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจลงทุนในหลักทรัพย์ของนักลงทุนบุคคล(Sripatum University, 2560) สุรเดช จองวรรณศิริการวิจัยนี้มุ่งศึกษาถึงอิทธิพลของปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับนักลงทุนและบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีต่อความตั้งใจลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนที่นักลงทุนสนใจ โดยประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มีลักษณะเป็นนักลงทุนบุคคลที่มีประสบการณ์ ความรู้ และความตระหนักในการวางแผนการลงทุนอย่างเป็นระบบ จานวน 460 คน ผลการวิเคราะห์ตัวแบบสมการเชิงโครงสร้างปรากฏอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญของปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ลักษณะของนักลงทุนตามระดับความสามารถในการรับความเสี่ยง แหล่งข้อมูลที่นักลงทุนให้ความสนใจ การรับรู้ต่อปัจจัยทางการบริหารของบริษัท และความคาดหวังต่อผลการดำเนินงานของบริษัทและหลักทรัพย์ ที่มีต่อความตั้งใจลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทของนักลงทุน นอกจากนั้นจากการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสารวจในข้อมูลชุดเดียวกัน ปรากฏผลที่แสดงถึงกระบวนการตัดสินใจของนักลงทุนไทยที่จะพิจารณาลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทที่สนใจด้วยปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับบริษัทใน 3 ด้าน ได้แก่ การบริหารงานของบริษัทกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัท และผลการดำเนินงานของบริษัทและหลักทรัพย์ โดยผลการวิเคราะห์ทางสถิติของตัวแบบที่พัฒนาขึ้นและการสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลที่เป็นนักลงทุนบุคคล สามารถแสดงอิทธิพลของปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ต่อความตั้งใจลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกัน ซึ่งผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนควรได้ตระหนักความสำคัญของปัจจัยดังกล่าว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อ บริษัทผ่านการลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัททั้งปัจจุบันและอนาคตต่อไปรายการ ประสิทธิภาพการนำนโยบายด้านการส่งเสริม SMEs ใช้ระบบ ERP ขนาดใหญ่ของอุตสาหกรรมการผลิต ในพื้นที่ภูมิภาคไปปฏิบัติ : กรณีศึกษากิจการโรงสีข้าวแห่งหนึ่งใน จังหวัดบุรีรัมย์(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2560) ยุพา งานฉมังการศึกษาประสิทธิภาพการนำนโยบายด้านการส่งเสริม SMEs ใช้ระบบ ERP ขนาดใหญ่ของอุตสาหกรรมการผลิตในพื้นที่ภูมิภาคไปปฏิบัติ:กรณีศึกษากิจการโรงสีข้าวแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1)ศึกษาประสิทธิภาพนำนโยบายด้านการส่งเสริม SMEs ใช้ระบบ ERP ขนาดใหญ่ของอุตสาหกรรมการผลิตในพื้นที่ภูมิภาคไปปฏิบัติ 2)ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการนำนโยบายด้านการส่งเสริม SMEs ใช้ระบบ ERP ขนาดใหญ่ของอุตสาหกรรมการผลิตในพื้นที่ภูมิภาคไปปฏิบัติ:กรณีศึกษากิจการโรงสีข้าวแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นการเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-dept Interview) ซึ่งมีผู้ให้ข้อมูลสําคัญ (Key Informants) ประกอบด้วย ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 6 ผู้บริหารกิจการ หัวหน้างานและพนักงาน ซึ่งเป็นผู้รับบริการจากภาครัฐ และผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาระบบ ERP โดยนำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์เชิงพรรณา (Content Analysis) ด้วยการนำประเด็นที่ได้รับจากการสัมภาษณ์มาวิเคราะห์แล้วนำมาสรุป เพื่อหาประสิทธิภาพและปัจจัยด้านต่างๆ รวมทั้งปัญหา อุปสรรค ที่ส่งผลกระทบต่อการนำนโยบายด้านการส่งเสริม SMEs ใช้ระบบ ERP ขนาดใหญ่ของอุตสาหกรรมการผลิตในพื้นที่ภูมิภาครายการ แบบจำลองความสัมพันธ์ของภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ ประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรมนุษย์ และผลการปฏิบัติงานของสถาบันการอาชีวศึกษา(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2560) สุภัทรา สงครามศรีการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ (2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ (3) เพื่อพัฒนาแบบจำลองความสัมพันธ์ของภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ ประสิทธิผลการจัดการทรัพยากรมนุษย์ และผลการปฏิบัติงาน กลุ่มตัวอย่างวิจัยครั้งนี้ คือ สถาบันการอาชีวศึกษา จำนวน 115 แห่ง ได้มาโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage-Sampling) ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้บริหารสถาบันการอาชีวศึกษา แห่งละ 3 คน รวมผู้ให้ข้อมูล จำนวน 345 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามระหว่างเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2558 และได้รับแบบสอบถามกลับคืนจำนวน 306 ฉบับ คิดเป็นอัตราการตอบกลับคืน (Response Rate) ร้อยละ 89 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling: SEM)รายการ ความคิดเห็นของข้าราชการต่อการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของ กรมกำลังพลทหารบก(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2560) ศุภณัฐ ขันติวงศ์การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1. เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นของข้าราชการต่อการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของกรมกำลังพลทหารบก 2. เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของข้าราชการต่อการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของกรมกำลังพลทหารบก จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล เพศ อายุ ระดับการศึกษา ระดับชั้นยศ จำนวนปีที่รับราชการ 3. เพื่อศึกษาแนวทางในการแก้ไขปัญหา อุปสรรค ในการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล ของกรมกำลังพลทหารบก ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นข้าราชการ กรมกำลังพลทหารบก จำนวน 317 คน เครื่องมือ ที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนตัว แบบสอบถามวัดความคิดเห็นต่อการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล ของข้าราชการกรมกำลังพลทหารบก และข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยผู้ศึกษาดำเนินการแจกแบบสอบถามและเก็บแบบสอบถามด้วยตัวเอง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติ T-test และ F-test และกําหนดค่าระดับความเชื่อมั่น (ระดับนัยสําคัญ) ที่ 0.05รายการ ตัวแบบการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันไปสู่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(Sripatum University, 2560) ภรณี หลาวทองการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ ความ สามารถทางการแข่งขัน ผลการดำเนินงานขององค์กร (2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ ความสามารถทางการแข่งขัน ผลการดำเนินงานขององค์กร (3) เพื่อสร้างตัวแบบการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันไปสู่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ผู้วิจัยกำหนดประชากรในการวิจัยครั้งนี้ คือ ตัวแทนกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ผ่านการคัดสรรผลิตภัณฑ์ ระดับ 4-5 ดาว จำนวน 420 คน ซึ่งผู้วิจัยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Sampling) ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน 2559 และได้รับแบบสอบถามกลับคืน จำนวน 324 ฉบับ คิดเป็นอัตราการตอบกลับคืน (Response Rate) ร้อยละ 77.14 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงการ (Structural Equation Modeling: SEM) ผลการวิจัย พบว่า ทรัพยากรพื้นฐาน ระบบการทำงาน และบทบาทของภาครัฐ มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ ความสามารถทางการแข่งขัน และผลการดำเนินงานขององค์กร การเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อความสามารถทางการแข่งขัน และผลการดำเนินงานขององค์กร ความสามารถทางการแข่งขันมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานขององค์กร
- «
- 1 (current)
- 2
- 3
- »